Little Miss Sunshine การเดินทางที่จะพาคนขี้แพ้กลับสู่แสงสว่างอีกครั้ง

บ่ายวันหนึ่ง อยู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มกังวานดังขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงัน “ผมคิดว่า ผมต้องดู Little Miss Sunshine อีกซักรอบแล้วล่ะ” ต้นเหตุของเสียงนั้นมาจากความฉุกคิดแบบปัจจุบันทันด่วนว่าที่เคยดูหนังเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว ในตอนนั้นเราพลาดอะไรไปแน่ ๆ และเป็นการพลาดครั้งยิ่งใหญ่ซะด้วย พอย้อนนึกแล้ว…ครั้งแรกที่ดู เรารู้สึกสนุกกับหนังตั้งแต่ต้นจนจบ สรุปกับตัวเองว่านี่คือหนัง Road Trip เบาสมอง อบอุ่น และจบลงด้วยความรู้สึก Feel Good แต่พอถึงวันนี้ สิ่งที่ผุดมาสะกิดใจ คือตัวละครทุกตัวมันอินดี้และต่างรู้สึกว่าตัวเองคือคนขี้แพ้ว่ะ…มันคือการเดินทางของพวกคนขี้แพ้และเป็นการเดินทางเพื่อเยียวยาซึ่งกันและกัน !

Little miss sunshine เล่าเรื่องราวของครอบครัว Hoover ซึ่งอาศัยอยู่ใน New Mexico หนังเปิดฉากด้วย Sheryl Hoover เดินทางมารับ Frank น้องชายของเธอไปอยู่ด้วย ซึ่งหมายถึงการไปอยู่บ้าน ที่เธออาศัยอยู่กับสามี (Richard) ลูกชาย (Dwayne) ลูกสาว (Olive) และพ่อสามี (Edwin) แต่ละคนที่ว่ามามีบุคลิกและนิสัยที่ค่อนข้างไม่ธรรมดา (ค่อนข้างแปลกนิดนึงนะ…จะว่าไปก็แปลกมากเลยล่ะ แต่ไม่ได้แปลกแบบโรคจิตอะไรแบบนั้นนะ ประมาณว่าต่างคนต่างมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร) และทุกคนก็มีภาระกิจร่วมกันคือการขับรถข้ามรัฐเพื่อพา Olive ไปประกวดนางงามเด็กในชื่อ มิสซันไชน์ เนื้อหาต่อไปนี้อยากจะเล่าว่าแต่ละคนนั้นขี้แพ้ยังไง แต่ขอเตือนว่ามีสปอยล์ด้วยนิดหนึ่งนะ

Sheryl Hoover แม่บ้าน ที่มีท่าทางมั่นใจ มีลักษณะเป็นผู้นำ ผู้สั่งการ แต่ตอนนี้เธอเป็นแม่ที่ต้องดูแลลูก ดูแลสามี ดูแลพ่อสามีวัยสูงอายุ (และแอบเสพยา) และดูแลความเรียบร้อยของบ้านไง เลยรู้สึกว่าเธอค่อนข้างเก็บกดเบา ๆ ฉากที่เธอขับรถไปรับแฟรงค์ แล้วสามีโทรมา และถามว่า คุณสูบบุหรี่อยู่เหรอ Sheryl ตอบประมาณว่า “เปล๊า ไม่เลย ฉันไม่ได้สูบ ฉันเลิกแล้วเว้ย” แต่คุณรู้ไหม ในมือเธอยังคีบบุหรี่อยู่เลย

Frank เพิ่งผ่านการฆ่าตัวตายและเพิ่งฟื้นคืนความเป็นคนปกติได้ทีละน้อย แฟรงค์เป็นเกย์ (เกย์ที่เหมือนผู้ชายปกตินี่แหล่ะ มีร่องรอยความสุขุมละมุนให้เห็นบ้าง) เขาน่าจะทำงานด้านการศึกษาและเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมาร์แซล พรุสต์ (Marcel Proust: นักเขียนนวนิยาย และนักวิพากษ์วรรณกรรมชาวฝรั่งเศส) ซึ่งเหตุผลที่ฆ่าตัวตายเพราะแฟนมีคนรักใหม่ ซ้ำยังมารู้ว่าแฟนใหม่ของแฟนเก่าได้ทุน Proust-Scholar คิดดูสิ ว่ามันจะโหดร้ายขนาดไหนสำหรับคนที่พร่ำบอกว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Proust บุคลิกของแฟรงค์จะนิ่งมาก เข้าใจได้ว่าเพิ่งผ่านช่วงเวลาจิตหดหู่ และโศกเศร้าที่สุดมา และตอนนี้จิตสำนึกมันกำลังซ่อมแซมตัวเอง

Richard เจ้าของทฤษฏี 9 ขั้น ในการประสบความสำเร็จ (เปิดตัวริชาร์ดด้วยฉากการบรรยายเรื่องทฤษฏีความสำเร็จอย่างทรงพลัง แต่พอบรรยายจบและเปิดเผยให้เห็นว่ามีคนฟังบรรยายเพียงไม่กี่คน) ริชาร์ดเป็นคนพ่อที่ดี รักครอบครัว นอกจากนี้ริชาร์ดยังเขียนหนังสือส่งสำนักพิมพ์แต่ได้รับการปฏิเสธ เขาเป็นคนขายฝันและขายทฤษฎีความสำเร็จ แต่ความจริงแล้วเขาคือคนที่พ่ายแพ้นั่นเอง

Dwayne เด็กหนุ่มวัยไฮสคูล มีเป้าหมายอยากเป็นนักบิน และเขาก็ยึดมั่นในแนวคิดของ Nietzsche (ฟรีดริช นีท เช่น นักเขียน นักปรัชญา ชาวเยอรมัน) เลยไม่พูดคุยกับใครจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายการได้เป็นนักบิน (เงียบอย่างเดียว เมื่อยากคุยก็เขียนกระดาษ) แต่ระหว่างการเดินทางทริปนี้ เขาก็ได้รู้ว่าเขาเป็นตาบอดสี เลยจะเป็นนักบินไม่ได้แล้ว (ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ยินเสียงพูดของ Dwayne) มีโมเมนต์น่ารักระหว่างน้าหลาน คือแฟรงค์ผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของ Proust เขาไม่ยอมรับแนวคิดของ Nietzsche เลยมีการถกเถียงกันสั้น ๆ เกี่ยวกับ Proust และ Nietzsche ซึ่งคอหนังสือแนวปรัชญาน่าจะชอบ

Edwin คุณปู่ผู้คอยฝึกการเต้นให้ Olive ไปโชว์ที่งานประกวด ระหว่างปู่กับหลานจะมีความตลก น่ารัก แต่รู้ไหมว่าคุณปู่น่ะติดยา และยังเลิกไม่ได้ด้วย

Olive สาวน้อยของเรา คือคนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนางงาม เป็นเหตุผลทำให้เกิดการเดินทางครั้งนี้ ถึงน้องจะแพ้ไม่ได้ตำแหน่ง แต่น้องคือคนที่มอบความสดใส และเป็นกำลังใจอันบริสุทธิ์ให้กับทุกคนเลยก็ว่าได้ 

มีตอนหนึ่งที่ริชาร์ดพูดว่า “ในโลกนี้ มันมีคนแค่ 2 จำพวกเท่านั้นแหล่ะ มีคนชนะ กับคนแพ้เท่านั้น และรู้ไหม ว่ามันต่างกันยังไง ก็คนชนะไม่เคยยอมแพ้ยังไงล่ะ” ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะเต็มไปด้วย Loser แต่การเดินทางครั้งนี้มันช่วยเยียวยาพวกเขา ทำให้ได้เรียนรู้ ได้ทบทวน และได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง ตามชื่อเรื่องที่พูดถึง Sunshine…เพราะตะวันยังมีให้เห็นนะพวกคุณ

​เครดิตภาพ : https://www.imdb.com/title/tt0449059/mediaviewer/rm1938012160